การสิ้นพระชนม์ ของ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์

ในกลางดึกของคืนวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ไดอานาทรงประสบอุบัติเหตุในรถยนต์ที่อุโมงค์ลอดใต้สะพานปองต์เดอลัลมา ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ความรุนแรงทำให้นายโดดี อัลฟาเยด พระสหาย และนายอองรี ปอล ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยของโรงแรมริตช์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที เจ้าหญิงทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส และสิ้นพระชนม์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาในเวลาเช้ามืดของวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 หลังจากทีมแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ ณ โรงพยาบาลปิเต-ซาลเปตริแยร์ กรุงปารีส

พระราชพิธีพระศพของพระองค์มีขึ้นในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และมีผู้รับชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีในสหราชอาณาจักรมากถึง 32.1 ล้านคน ซึ่งเป็นหนึ่งในการถ่ายทอดสดที่มีผู้ชมมากที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามรับชมพระราชพิธีนี้ทั่วทุกมุมโลกกว่าหลายร้อยล้านคน[182][183]

ทฤษฎีสมคบคิด การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ และคำพิพากษาคดีสิ้นพระชนม์

การไต่สวนคดีการสิ้นพระชนม์ครั้งแรกโดยเจ้าหน้าที่พิพากษาฝรั่งเศส สรุปว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความประมาทของพลขับ อองรี ปอล ที่สูญเสียความสามารถในการควบคุมรถยนต์[184] และบิดาของโดดี นายโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด เจ้ากิจการโรงแรมริทซ์ปารีส และเป็นนายจ้างของนายปอล[185] อ้างว่า อุบัติเหตุนี้เป็นการปลงพระชนม์ไดอานา[186] ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยข่าวกรองเอ็มไอ 6 ของอังกฤษ และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ

การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้การรื้อฟื้นขึ้นมาสืบสวนใหม่อีกครั้งช่วงระหว่าง พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2550–2551[187] ศาลอังกฤษมีคำพิพากษาในคดีนี้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากความประมาทร้ายแรงของนายอองรี ปอล พนักงานโรงแรมริทซ์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งขับรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนีช่างภาพปาปารัสซีที่ติดตามถ่ายภาพ[188] ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551 คณะลูกขุนยืนตามคำพิพากษาเดิม ตัดสินให้การสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เกิดจากการกระทำโดยประมาทของนายอองรี ปอล

ไม่กี่วันหลังการตัดสินคดี นายโมฮัมเหม็ด ฟาเยด ประกาศวางมือจากต่อสู้คดีสิ้นพระชนมที่ดำเนินมายาวนานกว่า 10 ปี [189] เพื่อรักษาพระเกียรติของพระโอรสทั้งสองของไดอานา[190]

การถวายความอาลัยและพระราชพิธีพระศพ

ช่อดอกไม้จำนวนมากหน้ารั้วพระราชวังเคนซิงตัน กรุงลอนดอน

การสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงผู้ทรงเสน่ห์อย่างกะทันหันและไม่คาดคิดสร้างความโศกเศร้าสะเทือนใจไปทั่วโลก บุคคลสำคัญในหลายประเทศได้ส่งสาส์นแสดงความอาลัยมายังสหราชอาณาจักร ประชาชนทยอยนำช่อดอกไม้ เทียน การ์ดและจดหมายแสดงความอาลัยไปวางไว้หน้าประตูพระราชวังเคนซิงตัน เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานหลายเดือน[191] เมื่อเครื่องบินอัญเชิญพระศพพร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี และพระเชษฐภคินีของไดอานา เดินทางถึงกรุงลอนดอน ในตอนบ่ายวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540[192][193] และมีการนำพระศพไปเก็บรักษาต่อที่ห้องเก็บศพแห่งหนึ่งภายในกรุงลอนดอน จากนั้นโลงพระศพจึงได้รับการประดิษฐาน ณ โบสถ์หลวงในพระราชวังเซนต์เจมส์[192]

พระราชพิธีพระศพจัดขึ้นภายในวิหารเวสต์มินสเตอร์เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 และเมื่อเย็นวาน (5 กันยายน พ.ศ. 2540) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัสแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อการสิ้นพระชนม์ของไดอานา ซึ่งถ่ายทอดสดสัญญาณภาพตรงจากพระราชวังบักกิงแฮม[22]

พระโอรสสองพระองค์ เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีได้ทรงร่วมเสด็จตามขบวนพระศพพระมารดา พร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินเบอระ อดีตพระสสุระ ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 พระอนุชา และตัวแทนจากสมาชิกหน่วยงานมูลนิธิและองค์การกุศลที่ไดอานาทรงให้การอุปถัมภ์[22]

เอิร์ลสเปนเซอร์กล่าวถึงพระเชษฐภคินีผู้ล่วงลับว่า “ไดอานาได้แสดงให้เห็นว่าในปีสุดท้ายของชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ใด ๆ มาสร้างมนต์เสน่ห์แสนพิเศษให้ตัวเธอ”[194]

ขบวนพระศพกำลังมุ่งหน้าไปเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์

เอลตัน จอห์น ได้ดัดแปลงเนื้อร้องเพลง Candle in the Wind สำหรับขับร้องประกอบเปียโนเป็นกรณีพิเศษในระหว่างช่วงหนึ่งของงานพระศพ ซึ่งโดยปกติเพลงนี้ถูกนำมาขับร้องสดในที่สาธารณะเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และเพลง Candle in the Wind ถูกจำหน่ายเป็นซิงเกิลใน พ.ศ. 2540 และรายได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายซิงเกิลนี้ถูกนำไปบริจาคให้แก่องค์การกุศลของไดอานา[194][195][196]

ในเวลาบ่ายของวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ครอบครัวสเปนเซอร์ประกอบพิธีฝังพระศพภายในพื้นที่คฤหาสน์อัลธอร์พ ซึ่งเป็นบ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์ โดยพิธีถูกจัดขึ้นอย่างเป็นการส่วนตัว มีเพียงพระญาติและผู้ใกล้ชิดที่ได้รับเชิญเท่านั้นเข้าร่วมพิธีฝังพระศพ ได้แก่ เจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี, เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสทั้งสองพระองค์ของไดอานา นางฟรานเซส ชานด์-คิดด์ พระมารดา เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล และบารอนเนสเจน เฟลโลวส์ พระเชษฐภคินี ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 พระอนุชา พระสหายสนิท และบาทหลวงผู้ทำพิธี[197]

ไดอานาทรงชุดเดรสแขนยาวสีดำสนิท ออกแบบและตัดเย็บโดยแคธรีน วอล์กเกอร์ ซึ่งชุดเดรสนี้พระองค์ทรงเลือกไว้ใช้ส่วนพระองค์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน พระองค์บรรทมอยู่ในโลงพระศพ พระหัตถ์ทั้งสองกุมสร้อยประคำซึ่งเป็นของขวัญที่ทรงได้รับจากแม่ชีเทเรชาแห่งกัลกัตตา ผู้วายชนม์ในสัปดาห์เดียวกันกับพระองค์ พระศพได้รับการฝังบนเกาะกลางทะเลสาบรูปไข่ (52.283082°N 1.000278°W) ซึ่งตั้งอยู่ทางสวนป่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคฤหาสน์[197]

กำลังพลจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบรักษาพระองค์ ในเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่อัญเชิญโลงพระศพไปยังหลุมพระศพบนเกาะกลางทะเลสาบ ก่อนหน้านี้ มีความคิดที่จะนำพระศพบรรจุภายในสุสานประจำตระกูลสเปนเซอร์ ณ โบสถ์ในเมืองเกรทบริงตัน แต่เมื่อเอิร์ลสเปนเซอร์ พระอนุชา พิจารณาเรื่องความปลอดภัยและผู้คนจำนวนมากที่ต้องการเดินทางมาเคารพพระศพ ดังนั้นจึงมีการตกลงกันภายในว่าจะฝังพระศพที่คฤหาสน์อัลธอร์พ ซึ่งครอบครัวสามารถดูแลรักษาได้สะดวก อีกทั้งพระโอรส และพระญาติยังสามารถเดินทางมาสุสานพระองค์ได้อย่างเป็นการส่วนตัว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการสิ้นพระชนม์

ศาลาดอริกหน้าสุสานของไดอานาในคฤหาสน์อัลธอร์พ

ภายหลังการสิ้นพระชนม์ กองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการจัดการลิขสิทธิ์ภาพ ตราอาร์ม และสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไดอานา[198] ใน พ.ศ. 2542 เจ้าหน้าที่กองทุน นำโดย เลดี้ซาราห์ พระเชษฐภคินี ได้ฟ้องร้องคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับบริษัทแฟรงคลินมินท์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาไดอานา รวมทั้งจานและเครื่องประดับที่มีรูปพระองค์ปรากฏอยู่บนสินค้า ภายหลังจากที่ทางกองทุนปฏิเสธการให้สิทธิ์ใช้ภาพไดอานาแก่โรงกษาปณ์แห่งนี้[199][200][201]

การพิจารณีคดีละเมิดลิขสิทธิ์นี้ถูกนำขึ้นไต่สวนที่ศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่การฟ้องร้องในกรณีที่เกี่ยวกับการนำภาพถ่ายบุคคลซึ่งเจ้าของงานนั้นเสียชีวิตไปใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ฝ่ายโจทก์สามารถดำเนินคดีแทนผู้เสียชีวิตได้ หากก่อนถึงแก่ความตาย ผู้เสียชีวิตได้พำนักอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นเวลานานต่อเนื่อง 1 ปีขึ้นไป  แต่ไดอานาไม่ทรงเข้าเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้ประทับอยู่ในรัฐแห่งนี้ก่อนสิ้นพระชนม์ ฉะนั้นศาลจึงถือว่าการฟ้องร้องคดีครั้งนี้ กองทุนเป็นผู้ดำเนินคดีแทนในฐานะผู้จัดการมรดก เป็นเหตุให้ศาลไม่รับฟ้อง และกองทุนฯ แพ้คดีในที่สุด

ต่อมาแฟรงคลินมินท์เรียกร้องให้กองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ จ่ายค่าชดเชยทางกฎหมายเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 180 ล้านบาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2542) จนเป็นเหตุให้กองทุนไม่สามารถให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์การกุศลอื่น ๆ ได้[199][200][201]

ต่อมาใน พ.ศ. 2546 แฟรงคลินมินท์ตัดสินใจฟ้องกลับกองทุนอนุสรณ์ฯ แต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ทั้งสองฝ่ายตกลงยอมความในชั้นศาล โดยกองทุนอนุสรณ์ฯ ยอมจ่ายเงินค่าชดเชยจำนวน 13.5 ล้านปอนด์ (1.01 พันล้านบาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2547) ให้แก่บริษัทแห่งนี้ และให้กองทุนอนุสรณ์ฯ และแฟรงคลินมินท์สามารถนำเงินส่วนหนึ่งจากค่าชดเชยดังกล่าว ไปบริจาคให้แก่องค์การกุศลหรือนำไปใช้จ่ายเพื่อสาธารณประโยชน์ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นสมควร[202]

ภาพถ่ายมุมสูงเหนือบริเวณทะเลสาบรูปไข่ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพ

 

13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 นิตยสารอิตาลี Chi ตีพิมพ์ภาพถ่ายไดอานาขณะทรงติดอยู่ภายในซากรถเมอร์เซเดสเบนซ์[203] แม้ว่าจะมีการขอร้องห้ามไม่ให้เผยแพร่ภาพดังกล่าวสู่สาธารณชน[204] ด้านบรรณาธิการนิตยสาร Chi ได้ออกมากล่าวปกป้องการตัดสินของกองบรรณาธิการ โดยอ้างว่า ตีพิมพ์ภาพดังกล่าวเนื่องจากยังไม่เคยได้รับการเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นการหมิ่นพระเกียรติแต่อย่างใด[204]

1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี เป็นเจ้าภาพการจัดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อรำลึกถึงพระมารดา ณ เวมบลีย์สเตเดียม ซึ่งตรงกับคล้ายวันประสูติปีที่ 46 ชันษาของไดอานา

พิธีทางศาสนาเพื่อรำลึกถึงไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งเป็นวาระครบ 10 ปีของการสิ้นพระชนม์ ถูกจัดขึ้นเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ณ โบสถ์การ์ดชาเพล ค่ายเวลลิงตัน กรุงลอนดอน มีสมาชิกพระราชวงศ์และพระประยูรญาติ สมาชิกจากตระกูลสเปนเซอร์ พระสหาย อดีตข้าราชบริพารและที่ปรึกษาในพระองค์ ตัวแทนจากองค์กรการกุศลของพระองค์ นักการเมือง เช่น กอร์ดอน บราวน์ โทนี แบลร์ และจอห์น เมเจอร์ ตลอดทั้งพระสหายจากแวดวงบันเทิง เช่น เดวิด ฟรอสต์ เอลตัน จอห์น และ คลิฟฟ์ ริชาร์ด

ภาพถ่ายส่วนพระองค์ระหว่างที่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งกำลังนอนหนุนตักชายหนุ่มนิรนามผู้หนึ่ง โดยสันนิษฐานว่าอาจถูกบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. 2522–2523 และรอยดินสอเขียนไว้บนภาพว่า “ห้ามเผยแพร่” ภาพนี้อยู่ในคลังภาพของหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ และถูกนำออกประมูลที่ประเทศอังกฤษใน พ.ศ. 2556[205]

19 มีนาคม พ.ศ. 2556 ชุดราตรีจำนวน 10 ชุดของไดอานา รวมทั้งชุดราตรีกำมะหยี่สีน้ำเงินรัตติกาลที่พระองค์สวมใส่ไปร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่ทำเนียบขาว และได้ร่วมเต้นรำกับนักแสดงฮอลลีวู้ด จอห์น ทราโวลตา (ต่อมาชุดราตรีนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ทราโวลตาเดรส) ถูกนำออกประมูลได้เงินจำนวน 800,000 ปอนด์ (23.37 ล้านบาท–อัตราแลกเปลี่ยน มีนาคม พ.ศ. 2556)[206]

เดือนมกราคม พ.ศ. 2560 จดหมายของไดอานาและสมาชิกพระราชวงศ์วินด์เซอร์ที่ทรงเขียนถึงมหาดเล็กพระราชวังบักกิงแฮม ถูกนำออกจำหน่ายในคอลเลกชัน “จดหมายส่วนตัวของมหาดเล็กผู้ซื่อสัตย์กับพระบรมศานุวงศ์” [207][208]จดหมายทั้ง 6 ฉบับของไดอานาส่วนใหญ่มีใจความกล่าวถึงพระจริยวัตรประจำวันของพระโอรสสองพระองค์ และสามารถขายได้เงินจำนวน 15,100 ปอนด์ (521,000 บาท–อัตราแลกเปลี่ยน มกราคม พ.ศ. 2560)[207][208]

นิทรรศการ “Diana: Her Fashion Story” ซึ่งจัดแสดงฉลองพระองค์ชุดราตรีและชุดสูทที่เจ้าหญิงทรงสวมใส่จำนวน 25 ชุด และได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการที่พระราชวังเคนซิงตัน ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เพื่อรำลึกการครบรอบ 20 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทรงโปรดปรานเป็นผลงานออกแบบและตัดเย็บของแฟชันดีไซเนอร์ชื่อดังหลายคน เช่น แคทเธอรีน วอล์กเกอร์ และวิกเตอร์ เอเดลสไตน์[209][210] โดยนิทรรศการจะมีไปจนถึงปี พ.ศ. 2561[211][212]

พระอนุชา ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 ได้จัดพิธีรำลึกครบรอบการสิ้นพระชนม์เป็นประจำทุกปีและมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้และภาพถ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับไดอานา ณ คฤหาสน์อัลธอร์พ บ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์[213] นอกจากนี้แล้วยังมีการงานกิจกรรมต่าง ๆ โดยมูลนิธิรางวัลไดอานาเมโมเรียลอวอร์ด[214] อาทิเช่น การปรับปรุงออกแบบสวนเคนซิงตันการ์เดนส์ให้เป็นนัยสอดคล้องกับพระบุคลิกภาพและพระชนม์ชีพของไดอานา[209][210]

ใกล้เคียง

ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไดอานา คิง ไดอานา รอสส์ ไดอานา ครอลล์ ไดอานา (ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า) ไดอานา เวลสลีย์ ดัชเชสแห่งเวลลิงตัน ไดอานา (แก้ความกำกวม) ไดอานา อัลวาเรช เปเรย์รา เดอ เมโล ดัชเชสที่ 11 แห่งคาดาวัล ไดอาน่า จงจินตนาการ ไดอาน่า แรนด์

แหล่งที่มา

WikiPedia: ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ http://www.haypost.am/view-lang-eng-product-591.ht... http://www.marieclaire.com.au/gallery/fashion/cann... http://www.news.com.au/heraldsun/story/0,21985,230... http://www.azermarka.az/en/search.php?misc=search&... http://canadiancrown.gc.ca/eng/1331832099895#a4 http://www.huffingtonpost.ca/2016/05/10/iconic-can... http://bbc.adactio.com/politics97/diana/blunt.html http://www.aparchive.com/metadata/UK-Various-Queen... http://www.apnewsarchive.com/1990/Prince-Charles-P... http://www.bbc.com/news/uk-38508089